Author name: admin

แนวคิดการมองโลกผ่านน้ำส้มสายชู (醋) ในลัทธิขงจื๊อ (儒家) ศาสนาพุทธ (佛家) และลัทธิเต๋า (道家)

“ชายสามคนกำลังยืนล้อมรอบถังน้ำส้มสายชูใบใหญ่ใบหนึ่ง ทั้งสามคนต่างก็ได้ลองลิ้มรสของน้ำส้มสายชู ทว่าทั้งสามคนต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ความหมายของชายสามคนในภาพนั้นก็ได้กลายเป็นศาสดาของแต่ละลัทธิอันได้แก่ ขงจื๊อ (孔子) พระพุทธเจ้า (釋迦摩尼) และเล่าจื๊อ (老子) โดยที่ขงจื๊อคิดว่าน้ำส้มสายชูมีรสเปรี้ยว พระพุทธเจ้าคิดว่ามีรสขม ส่วนเล่าจื๊อกลับมองว่ามีรสหวาน” ข้อความข้างต้นนี้เป็นคำบรรยายที่มีต่อภาพที่ชื่อว่า “นักชิมน้ำส้มสายชู” (The Vinegar Tasters, 三酸圖) ซึ่งเป็นจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงอย่างมากในด้านแนวคิดปรัชญาของจีน กล่าวคือการที่ศาสดาทั้งสามลิ้มรสน้ำส้มสายชูในถังใบเดียวกันแล้วได้รสชาติที่ต่างกัน แท้จริงแล้วภาพปริศนาธรรมนี้ ต้องการจะชี้ให้เห็นถึงการมองชีวิตและโลกที่ต่างกันผ่านปลายลิ้นของศาสดาทั้งสาม รสชาติแห่งชีวิต ขงจื๊อมองว่าชีวิตนั้นมีรสชาติออกเปรี้ยว กล่าวคือ โลกของเรานั้นไม่สมบูรณ์ ไม่มีความประสานกลมเกลียวกันระหว่างยุคสมัยอดีตกับปัจจุบัน การปกครองบนโลกมนุษย์นั้นก็ไม่สอดรับกับวิถีแห่งสวรรค์ จำเป็นต้องสร้างกฏเกณฑ์บางอย่างเพื่อให้วิถีของโลกนั้นสอดคล้องต้องตรงกันกับสวรรค์ซึ่งในที่นี้ก็คือหลักธรรมคำสอนของลัทธิขงจื๊อ โดยมีกษัตริย์ซึ่งถือเป็นโอรสสวรรค์นั้นเป็นตัวเชื่อมระหว่างโลกกับสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ ลัทธิขงจื๊อจึงมีคำสอนและข้อปฏิบัติอันเคร่งครัดมากมาย ทั้งในแง่ของการปกครองบ้านเมืองด้วยคุณธรรม ประเพณีปฏิบัติต่าง ๆ และธรรมเนียมภายในราชสำนัก พระพุทธเจ้าเห็นว่าชีวิตบนโลกนั้นมีรสขม กล่าวคือ โลกของเรา การเกิดมาบนโลก และสรรพสัตว์บนโลกนั้นช่างขมขื่น อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความยึดติดและกิเลสตัณหา ซึ่งนำไปสู่ความทุกข์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าในการทำให้สัตว์โลกทั้งปวงนั้นพ้นจากทุกข์ด้วยหลักความจริงอันประเสริฐหรือ “อริยสัจ” และมุ่งสู่จุดสูงสุดแห่งพระพุทธศาสนาซึ่งก็คือ “นิพพาน”  ในขณะที่ขงจื๊อทำหน้าตาบูดบึ้ง พระพุทธเจ้าทำสีหน้าขมขื่น เล่าจื๊อกลับมีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม และรู้สึกว่าน้ำส้มสายชูถังนี้นั้นมีรสชาติหวาน ที่เป็นเช่นนี้เพราะท่านมองว่าแท้จริงแล้ว โดยธรรมชาติโลกและสวรรค์นั้นมีความสอดคล้องกลมเกลียวกันอยู่แล้วตั้งแต่แรก มนุษย์นั้นสามารถพบเจอได้ทุกชั่วขณะจิต […]

แนวคิดการมองโลกผ่านน้ำส้มสายชู (醋) ในลัทธิขงจื๊อ (儒家) ศาสนาพุทธ (佛家) และลัทธิเต๋า (道家) Read More »

ตรวจสอบดวงชะตากวนอูผ่านปีนักษัตร สมพงศ์และชงกับใครบ้างในสมัยสามก๊ก?

เชื่อว่าผู้อ่านสามก๊กหลายท่านน่าจะรู้จักตัวละครสำคัญอย่างกวนอู (關羽) เล่าปี่ (劉備) เตียวหุย (張飛) และโจโฉ (曹操) และพอจะเข้าใจความสัมพันธ์ของตัวละครเหล่านั้นอยู่บ้างไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ดี หากกล่าวถึงความสัมพันธ์ในด้านของความสมพงศ์และการชง ข้อมูลที่จำเป็นที่สุดในการวิเคราะห์ก็คือ “ปีเกิด” ซึ่งสามารถบ่งบอกปีนักษัตรได้ และเมื่อเราได้ปีนักษัตรแล้ว ก็สามารถนำมาเทียบกับหลักความสัมพันธ์ทางโหราศาสตร์จีนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น หลักฮะ (六合) หลักชง (六冲) ซาฮะ (三合) หรือหลักไห่ (六害) ได้ อนึ่ง หากกล่าวถึงสามก๊กนั้น จำเป็นต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่าฉบับที่คนส่วนใหญ่ได้อ่านกัน ไม่ว่าจะเป็นฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ฉบับวณิพก หรือฉบับยาขอบ ล้วนแปลจาก “นวนิยายสามก๊ก” (三國演義) ซึ่งแต่งโดยหลอกว้านจง (羅貫中) ในสมัยราชวงศ์หมิง กล่าวคือมีการเสริมเติมแต่งอยู่ไม่น้อย ในขณะที่นักประวัติศาสตร์นั้นจะศึกษาความเป็นไปของยุคสมัยสามก๊กผ่าน “จดหมายเหตุสามก๊ก” (三國志) หรือ “จือจื้อทงเจี้ยน” (資治通鑑)  ซึ่งเป็นบันทึกประวัติศาสตร์นิพนธ์จีนโดย ซือหม่ากวง (司馬光) อย่างไรก็ตาม ในบทความนี้ผู้เขียนจะขอใช้ปีเกิดตามนวนิยายสามก๊ก เนื่องจากตรวจสอบดวงชะตากวนอูผ่านปาจื้อนั้น ไม่ได้มีเจตนาเพื่อหาข้อสรุปทางประวัติศาสตร์ เพียงต้องการนำหลักของปาจื้อเข้ามาตรวจสอบและเทียบเคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในนวนิยายเรื่องสามก๊กเท่านั้น

ตรวจสอบดวงชะตากวนอูผ่านปีนักษัตร สมพงศ์และชงกับใครบ้างในสมัยสามก๊ก? Read More »

24 สารทฤดู (二十四節氣) และอาหารการกินของคนจีน

คนจีนถือเป็นชนชาติหนึ่งที่ให้ความสำคัญและใส่ใจกับการกินอาหารตามฤดูกาลเป็นอย่างมาก หลายท่านที่ศึกษาวัฒนธรรมจีนมาอาจทราบกันดีว่าชาวจีนโบราณนั้นแบ่งฤดูกาลออกเป็นทั้งหมด 24 ฤดู ซึ่งนอกจากอาหารตามฤดูกาลมักจะหาทานได้ง่ายในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ แล้ว ยังช่วยในการบำรุงร่างกายของเราให้แข็งแรงและทำให้พลังหยินหยางภายในร่างกายสมดุลอีกด้วย สรุป 24 ฤดูกาลของจีนผ่านบทเพลงท่องจำเด็กประถมจีน 春雨驚春清穀天,夏滿芒夏暑相連 秋處露秋寒霜降,冬雪雪冬小大寒 每月两节不变更,最多相差一两天 上半年来六廿一,下半年来八廿三 บทเพลงที่เขียนขึ้นไว้ข้างต้นนี้มีชื่อว่า《傳統廿四節氣歌》แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “เพลง 24 สารทดั้งเดิมของจีน” สำหรับความหมายของเพลงนั้น สามารถสรุปความหมายในแต่ละวรรคได้ดังต่อไปนี้ 春雨驚春清穀天 ชุน-อวี่-จิง-ชุน-ชิง-กู่-เทียน หมายถึง 6 สารทในฤดูใบไม้ผลิได้แก่ ลี่ชุน (立春) อวี๋สุ่ย (雨水) จิงเจ๋อ (驚蟄) ชุนเฟิน (春分) ชิงหมิง (清明) และกู๋อวี่ (穀雨)  夏滿芒夏暑相連 เซี่ย-หม่าน-หมาง-เซี่ย-สู่-เซียง-เหลียน หมายถึง 6 สารทในฤดูร้อนได้แก่ ลี่เซี่ย (立夏) เสียวหม่าน (小滿) หมางจ้ง (芒種) เซี่ยจื้อ (夏至) เสียวสู่ (小暑) และต้าสู่ (大暑) 

24 สารทฤดู (二十四節氣) และอาหารการกินของคนจีน Read More »

ตำนานสุรา สงหวง (雄黃酒) สุราป้องกันเบจญพิษในเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง

 “人生得意須盡歡,莫使金樽空對月”——李白《將進酒》 “ชีวิตคนยามสุขก็สุขให้เต็มที่ อย่าให้จอกทองว่างเปล่าภายใต้แสงจันทร์”—— เชิญร่ำสุรา, หลี่ป๋าย วรรคหนึ่งจากบทกวีชื่อ《將進酒》ซึ่งเขียนโดยหลี่ป๋ายนั้นได้แสดงให้เห็นว่า เหล้าและงานเลี้ยงถือเป็นของคู่กันที่ไม่อาจขาดจากกันได้ ในยามที่มีการเลี้ยงฉลอง นอกจากงานเลี้ยงแล้ว เหล้านั้นถือเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับงานมงคลมากมาย จนมีคำพูดที่ว่า “無酒不成席” หมายถึง “ไม่มีเหล้า ไม่นับว่าเป็นงานเลี้ยง” อย่างไรก็ตาม ในเทศกาลไหว้ขนมบ๊ะจ่างซึ่งอาจไม่ได้มีการจัดงานรื่นเริง ก็มีเหล้าเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีเช่นเดียวกัน ซึ่งเหล้าชนิดนี้เรียกว่าเหล้าสงหวง (雄黃酒)  เหล้าสงหวง (雄黃酒) และที่มาของการดื่มเหล้าสงหวงในเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เหล้าสงหวงคือเหล้าประเภทหนึ่งซึ่งทำจาก “สงหวง” (雄黃) ซึ่งเป็นแร่ชนิดหนึ่งประกอบด้วยกำมะถันและสารหนู คนไทยรู้จักกันในชื่อว่า “หรดาลแดง” ในช่วงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ชาวบ้านจะดื่มเหล้าสงหวง และนำเหล้ามาเขียนบนหน้าผากเด็กเป็นรูปตัวอักษร 王 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพญาเสือโคร่ง โดยเชื่อว่าสามารถไล่ผีและเสนียดจัญไรได้ นอกจากนี้เนื่องจากช่วงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างอยู่ในช่วงฤดูร้อนและมีอากาศร้อนชื้น ซึ่งเป็นช่วงที่สัตว์มีพิษทั้ง 5 ชนิดเจริญพันธ์ุเร็ว อันได้แก่ งู คางคก ตะขาบ แมงมุม และจำพวกสัตว์เลื้อยคลาน ชาวจีนจะใช้เหล้าสงหวงในการไล่สัตว์มีพิษเหล่านี้ออกไป ดั่งคำกล่าวที่ว่า “飲了雄黃酒,病魔都遠走” แปลว่า “ดื่มเหล้าสงหวง โรคภัยมารร้ายไม่กล้ำกราย” อย่างไรก็ตาม การดื่มเหล้าสงหวงนั้นจะดื่มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะหากดื่มมากเกินไปสารพิษในเหล้าจะออกฤทธิ์ทำลายระบบประสาทและระบบย่อยอาหารแทน ส่วนที่มาที่ไปของการนำเหล้าสงหวงมาใช้ในการขับไล่สัตว์มีพิษนั้น

ตำนานสุรา สงหวง (雄黃酒) สุราป้องกันเบจญพิษในเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง Read More »

เทศกาลสงกรานต์ของไทยและของจีนต่างกันอย่างไร

เป็นที่ทราบกันดีว่าเทศกาลสงกรานต์ของไทยนั้นถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของชาติอันเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2566 ที่ผ่านมา องค์กรยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้ประเพณีสงกรานต์ของไทยเป็น “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ” (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) อย่างไรก็ตาม ที่ประเทศจีนเองก็มี “เทศกาลสงกรานต์ในรูปแบบของตัวเอง” ซึ่งเรียกว่า “พัวสุยเจี๋ย” หรือเทศกาลสาดน้ำ คำว่า “เทศกาลสงกรานต์” ในภาษาจีน คำว่า “เทศกาลสงกรานต์” ในภาษาจีนคือ 宋干節 (ซ่งกานเจี๋ย) และ 潑水節 (พัวสุยเจี๋ย) ถึงแม้ว่าจะแปลเหมือนกัน แต่สิ่งที่อ้างถึงนั้นต่างกัน กล่าวคือ หากกล่าวถึงเทศกาลสงกรานต์ของไทย จะใช้คำว่า 宋干節 (ซ่งกานเจี๋ย) ในขณะที่คำว่า 潑水節 (พัวสุยเจี๋ย) จะหมายถึงเทศกาลสงกรานต์ของจีนชนเผ่าไต (傣族) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “เทศกาลสาดน้ำ” ซึ่งในบทความนี้จะขอเรียกเทศกาลสงกรานต์ของจีนว่า “เทศกาลสาดน้ำ” เพื่อแยกความแตกต่างออกจากเทศกาลสงกรานต์ของไทย ทำความรู้จักเทศกาลสาดน้ำ เทศกาลสาดน้ำ ถือเป็นเทศกาลปีใหม่ของชาวไต ตรงกับเดือน 6 ของปฏิทินไต

เทศกาลสงกรานต์ของไทยและของจีนต่างกันอย่างไร Read More »

ทำความรู้จัก 4 พระมหาโพธิสัตว์แห่งพระพุทธศาสนานิกายมหายาน

หากกล่าวถึงพระโพธิสัตว์ หรือที่ในภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า “ผ่อสัก” (菩薩) หลายคนอาจคุ้นเคยกับเจ้าแม่กวนอิม หรือพระอวโลกิเตศวร (觀世音菩薩) มากกว่าองค์อื่น ๆ แต่นอกเหนือจากเจ้าแม่กวนอิมแล้ว ในพระพุทธศาสนานิกายมหายานนั้นยังมีพระโพธิสัตว์อีกหลายองค์ที่เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านที่เคยเข้าศาลเจ้าไหว้พระนั้นน่าจะเคยเห็นแน่นอน เพียงแต่อาจจะไม่คุ้นเคยกับพระนามของท่าน ในบทความนี้น่ำเอี๊ยงจึงขอพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับพระมหาโพธิสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 4 พระองค์ว่ามีใครบ้าง พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์: ผู้สดับฟังเสียงร่ำไห้คร่ำครวญของสัตว์โลก พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (觀世音菩薩)  หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนามว่า พระโพธิสัตว์กวนอิม หรือ เจ้าแม่กวนอิม เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระอมิตาภพุทธ (阿彌陀佛) เดิมพระอวโลกิเตศวรเป็นผู้ชาย แต่เมื่อศาสนาพุทธเผยแพร่เข้าสู่ประเทศจีนและเข้าสู่ราชวงศ์ถัง (唐朝) ได้เกิดคตินิยมให้สร้างพระองค์ให้เป็นเพศหญิง และเรียกกันว่าพระโพธิสัตว์กวนอิมนั่นเอง “我之所有一切善根,盡回向阿耨多羅三藐三菩提。願我行菩薩道時,若有眾生受諸苦惱、恐怖等事,退失正法,墮大暗處,憂愁孤窮、無有救護、無依無舍,若能念我、稱我名字,若其為我天耳所聞、天眼所見,是眾生等,若不得免斯苦惱者,我終不成阿耨多羅三藐三菩提。” ——《悲華經》 ความตอนหนึ่งจาก《悲華經》หรือ “กรุณาปุณฑรีกสูตร” หนึ่งในพระสูตรที่สำคัญของนิกายมหายาน ได้แสดงให้เห็นถึงความเมตตาอันเปี่ยมล้นของเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า  “หากมีสัตว์โลกใดไม่พ้นทุกข์ เราก็ไม่ขอบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ” ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เจ้าแม่กวนอิมนั้นกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเมตตามาจนถึงปัจจุบัน อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าแม่กวนอิมต่อได้ที่บทความ ไหว้ขอพรเจ้าแม่กวนอิมปางต่าง ๆ พร้อมบทสวดบูชาเสริมความเมตตา พระมัญชุศรีโพธิสัตว์: ผู้เป็นตัวแทนแห่งปัญญาและความคิดอันปราดเปรื่อง พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ (文殊菩薩) หรือในภาษาจีนแต้จิ๋วอ่านว่า “บุ่งซู้ผ่อสัก” เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระศากยมุนี (釋迦牟尼) และทรงเป็นพระโพธิสัตว์แห่งปัญญา

ทำความรู้จัก 4 พระมหาโพธิสัตว์แห่งพระพุทธศาสนานิกายมหายาน Read More »

ทำความรู้จัก “ตั่งซาโหง่วเนี้ย”《陳三五娘》งิ้วขาประจำเทศกาลหง่วงเซียว

“ทานขนมหยวนเซียวคืนเดือนหงาย ทายปริศนาโคมลอย ปล่อยใจชมโคมไฟและแสงจันทร์ในยามราตรี” หากพูดถึงเทศกาลหยวนเซียว (元宵節) แล้ว เชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะนึกถึงธรรมเนียมประเพณีที่กล่าวไปข้างต้นเป็นอันดับแรก ๆ อย่างไรก็ตาม นอกจากสามสิ่งนี้แล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของชาวจีนแต้จิ๋วและฮกเกี้ยน นอกจากนี้ยังได้รับการอนุมัติจากคณะมนตรีรัฐกิจของประเทศจีน (中華人民共和國國務院) ให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติจีนอีกด้วย ซึ่งก็คืองิ้วเรื่อง “ตั่งซาโหง่วเนี้ย”《陳三五娘》จากคณะงิ้วลี่หยวน เมืองเฉวียนโจว (泉州梨園戲)  เรื่องราวความรักระหว่างตั่งซาและโหง่วเนี้ย “ตั่งซาโหง่วเนี้ย”《陳三五娘》หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ “หลี่เกี๊ยกี่”《荔鏡記》คือบทงิ้วที่เขียนขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง (明代) เรื่องราวมีอยู่ว่า ตั่งซา (陳三) ซึ่งเป็นบัณฑิตหนุ่มชาวเมืองเฉวียนโจว มณฑลฮกเกี้ยน (福建泉州人) กำลังจะส่งพี่ชายไปรับราชการที่เมืองกว่างหนาน (廣南) แต่ระหว่างทางได้ผ่านเมืองแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้ง (廣東潮州) ซึ่ง ณ ขณะนั้นกำลังจัดเทศกาลหง่วงเซียวอยู่พอดี และในคืนเดือนหงายครั้งแรกของปีนั้นเอง ตั่งซาก็ได้บังเอิญพบกับโหง่วเนี้ย ลูกสาวของคหบดีผู้มั่งคั่งตระกูลอึ๊ง (黃五娘) และจุดเริ่มต้นความรักของทั้งสองก็ได้เริ่มต้นเนิดขึ้นโดยมีพระจันทร์และโคมไฟเป็นสักขีพยาน แต่ฝ่ายบิดาของโหงวเนี้ยนั้นได้จัดแจงงานแต่งให้ลูกสาวของตนเป็นที่เรียบร้อย โดยให้แต่งงานกับเศรษฐีนามว่า “หลิ่มไต๋” (林大) โดยที่โหงวเนี้ยไม่เต็มใจ จึงได้แต่รู้สึกเศร้าใจทว่าไม่อาจทำอะไรได้ ตั่งซาจึงตัดสินใจกลับมาที่เมืองแต้จิ๋วอีกครั้ง และปลอมตัวเป็นช่างรับจ้างขัดกระจกเพื่อที่จะได้เข้าบ้านตระกูลอึ๊ง โหง่วเนี้ยต้องการที่จะเผยความในใจ จึงเอาลิ้นจี่ห่อผ้าเช็ดหน้าแล้วโยนลงไปให้ตั่งซา เมื่อตั่งซารู้ดังนั้นแล้วจึงแกล้งทำกระจกของตระกูลนางเอกแตก แล้วอ้างว่าไม่มีเงินชดใช้ จำต้องยอมขายตัวเองเป็นทาสรับใช้ของตระกูล เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้นางเอก

ทำความรู้จัก “ตั่งซาโหง่วเนี้ย”《陳三五娘》งิ้วขาประจำเทศกาลหง่วงเซียว Read More »

กวนอู (關羽): จากแม่ทัพผู้ชาญชัยสู่เทพเจ้าแห่งโชคลาภ

กวนอูถือเป็นหนึ่งในบุคคลประวัติศาสตร์ที่ไม่ว่าใครต่างก็เคยได้ยิน ทั้งในฐานะแม่ทัพผู้เก่งกาจในยุคสมัยสามก๊ก และเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ แต่จากที่กล่าวไปทั้งหมดนั้น เชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านอาจรู้จักกวนอูในฐานะ “ไฉ่สิ่งเอี๊ย” หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภด้วย (財神爺) หรือหากกล่าวให้แม่นยำยิ่งขึ้นก็จะต้องบอกว่าเป็น เทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบู๊ หรือ “บู๊ไฉ่สิ่งเอี๊ย” (武財神)  สถานะของกวนอูในยุคสมัยต่าง ๆ ยุคฉิน ฮั่น เว่ย จิ้น และหนานเป่ยเฉา (秦、漢、魏晉、南北朝)  นับตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย มาจนถึงหนานเป่ยเฉา กวนอูนั้นยังไม่ได้รับสถานะเป็นเทพ มีเพียงแค่บางพื้นที่ของประเทศจีนเช่นเมืองเกงจิ๋วและแคว้นจ๊กเท่านั้นที่ตั้งศาลเจ้าเพื่อสักการะบูชาท่านในฐานะ “วิญญาณผี” เท่านั้น เพราะเชื่อว่าท่านเป็นแม่ทัพที่เสียชีวิตในสนามรบทำให้มีความอาฆาตแค้นสูง จึงเคราพบูชาด้วยความหวั่นเกรง ราชวงศ์สุย (隋唐) ในยุคสมัยนี้เป็นช่วงที่สถานะของกวนอูนั้นเริ่มเปลี่ยนไป กล่าวคือไม่ได้ถูกมองเป็นวิญญาณร้ายอีกต่อไป ใน “บันทึกทั่วไปเกี่ยวกับผู้ก่อตั้งพุทธศาสนา”《佛祖統記》เล่าไว้ว่าคำคืนหนึ่งในขณะที่พระอาจารย์จื้ออี่ (智顗) กำลังบำเพ็ญสมาธินั้น กวนอูก็ได้ปรากฏต่อหน้าท่าน และขอให้พระอาจารย์สร้างวัดในเมืองเกงจิ๋วขึ้น โดยที่ตนจะทำหน้าที่ปกป้องพระอารามแห่งนี้ พระอาจารย์จื้อเจ่อจึงได้แสดงธรรมให้แก่กวนอู และหลังจากนั้นเป็นต้นมา กวนอูก็ได้ปกป้องสถานที่แห่งนี้มาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการยกย่องว่าเป็น “พระสังฆรามโพธิสัตว์” (伽藍菩薩) หรือพระโพธิสัตว์ผู้ปกป้องศาสนา ราชวงศ์ซ่ง (宋代) ในยุคสมัยดังกล่าว มีเหตุปัจจัยต่าง ๆ เช่น สถานการณ์บ้านเมือง การศึกสงครามรอบด้าน

กวนอู (關羽): จากแม่ทัพผู้ชาญชัยสู่เทพเจ้าแห่งโชคลาภ Read More »

เช็งเม้งปีนี้ จัดของไหว้รับเฮง ต้อนรับเทศกาลลูกหลานกตัญญู

วันเช็งเม้ง (清明节) คือ ช่วงฤดูที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ดอกไม้เริ่มผลิบาน เนื่องจากเป็นช่วงที่อากาศกำลังสบาย จึงเหมาะแก่การออกจากบ้านเพื่อไปกราบไหว้ และปัดกวาดสุสานของบรรพพชน โดย วันเช็งเม้ง จะอยู่ในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนที่ 3 ตามปฏิทินจันทรคติจีน ซึ่งมักจะตรงกับวันที่4 หรือ 5 เมษายนของแต่ละปี รู้หรือไม่? ในสมัยโบราณ ก่อนผู้คนจะออกไปไหว้บรรพบุรุษที่สุสานในเทศกาลเช็งเม้ง (清明節) 1-2 วันคือ เทศกาลอาหารเย็น หรือเทศกาลหานสือ (寒食節) มีที่มาจากสมัยโบราณที่นิยมใช้ฟืนก่อไฟทำอาหาร ซึ่งมีประเพณีปฏิบัติเวลาเปลี่ยนฤดูก็มีจะการเปลี่ยนกองฟืนและจุดไฟซึ่งเรียกไฟที่จุดขึ้นว่าไฟใหม่ ดังนั้นช่วงหาฟืนและรอไฟใหม่จะไม่ใช้ไฟเด็ดขาด ชาวบ้านจึงทำอาหารที่สามารถเก็บไว้ได้นาน เช่น โจ๊กธัญพืชเย็น ปอเปี๊ยะห่อผัก เต้าหู้แห้ง ขนมหันจี้ว์(寒具) ทำจากแป้งกับงา ขนมแป้งข้าวเหนียวสอดไส้ด้วยถั่วแดงหรือถั่วดํา ฯลฯ ไว้ทานในช่วงที่ขาดไฟ ซึ่งต่อมาเทศกาลอาหารเย็นนี้ได้ถูกหลอมรวมเข้ากับเทศกาลเช็งเม้งที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน เช็งเม้ง เทศกาลลูกหลานกตัญญูและตำนานการเลี้ยงไหมของชาวจีน ต้นกำเนิดเทศกาลเช็งเม้งเทศกาลเช็งเม้ง ถือกำเนิดขึ้นมาในสมัยของพระเจ้าฮั่นเกาจู ผู้สถาปนาราชวงศ์ฮั่นของประเทศจีน หลักเสร็จการศึกพระเจ้าฮั่นเกาจูได้เดินทางกลับไปสักการะป้ายหลุมศพของผู้มีพระคุณที่สุสานยังเมืองบ้านเกิด แต่ด้วยผลพวงจากศึกสงคราม ทำให้ป้ายชื่อในสุสานถูกทำให้เสียหาย จนไม่อาจทราบได้ว่าป้ายไหนเป็นของใครพระเจ้าฮั่นเกาจูจึงอธิษฐานต่อเทวดาฟ้าดินด้วยแรงกตัญญูที่อยากเคารพบรรพชนผู้ล่วงลับ ขอให้หาหลุมศพของบิดามารดาเจอ จากนั้นจึงได้ทำการโปรยกระดาษขึ้นฟ้า หากกระดาษนั้นไปตกอยู่ที่ป้ายสุสานใดให้ถือว่าป้ายนั้นเป็นของบิดามารดาผู้ล่วงลับ จากนั้นเมื่อไปตรวจสอบดูกระดาษที่โปรยก็พบว่ากระดาษได้ร่วงลงมาตกอยู่บนป้ายหลุมศพของบิดามารดาจริงดังคำอธิษฐาน​ที่มาทำความสะอาดฮวงซุ้ย โปรยกลีบดอกไม้จากประวัติของพระเจ้าฮั่นเกาจูนี้เอง

เช็งเม้งปีนี้ จัดของไหว้รับเฮง ต้อนรับเทศกาลลูกหลานกตัญญู Read More »

เทศกาลชุงฮุง มีอะไรมากกว่าที่คิด

บนปฏิทินจีนน่ำเอี๊ยง มีวันหนึ่งเขียนเอาไว้ว่าวันชุงฮุง วันนี้หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าเป็นวันที่มีความสำคัญในช่วงเทศกาลการไหว้บรรพบุรุษไม่แพ้กับเช็งเม้งเลยก็ว่าได้ ชุงฮุง สารทฤดูใบไม้ผลิและการไหว้บรรพบุรุษ ความเป็นมาของเทศกาลชุงฮุง วันชุงฮุง (春分) ตรงกับวันที่ 11 เดือน 2 ของทุกปีตามปฏิทินจันทรคติจีน คำว่า “ชุงฮุง” แปลว่า กลางฤดูใบไม้ผลิ โดยเป็นเป็น 1 ใน 24 สารทย่อยของจีน ในสมัยโบราณวันนี้จะมีความสำคัญเกี่ยวกับการไหว้เทพเจ้าแห่งการเกษตร เพื่อขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล นอกจากนี้ วันชุงฮุง ยังเป็นวันที่มีปรากฏการณ์ที่แสงจากดวงอาทิตย์ตั้งฉากกับเส้นศูนย์สูตร ซึ่งชาวจีนเชื่อว่าเป็นวันที่โลกมีความสมดุลมากที่สุดอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ช่วงชุงฮุงนั้น เป็นหนึ่งใน 24 สารทย่อยของจีน จะอยู่ในช่วงกลางฤดูใบไม่ผลิ เป็นช่วงสภาพอากาศอบอุ่น แดดดี อากาศแจ่มใสเหมาะกับการประกอบกิจกรรมกลางแจ้ง จึงทำให้หลายครอบครัวมีการเดินทางไปไหว้บรรพบุรุษในช่วงชุงฮุง แทนการไปไหว้ในช่วงเช็งเม้ง เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายและการจราจรที่ติดขัด ความมหัศจรรย์ของเทศกาลชุงฮุงเทศกาลชุงฮุงนอกจากจะเป็นช่วงเวลาสำคัญในการไหว้บรรพบุรุษแล้ว อีกหนึ่งความพิเศษของเทศกาลนี้ก็คือ วันวิษุวัต (EQuinox) หรือ วันราตรีเสมอภาค ซึ่งมักจะตรงกับวันที่ 5 หรือ วันที่ 21 มีนาคมของทุกปีโดยไม่คลาดเคลื่อน วันนี้มีปรากฏการณ์ที่แสงจากดวงอาทิตย์ตั้งฉากกับเส้นศูนย์สูตร ทำให้มีช่วงเวลากลางวันและกลางคืนยาวเท่ากัน การละเล่นในช่วงเทศกาลชุงฮุง​พิธีตั้งไข่เป็นหนึ่งในการละเล่นของวันชุงฮุง ที่มีการสืบทอดกันมาอย่างยาวนานกว่า4,000ปี

เทศกาลชุงฮุง มีอะไรมากกว่าที่คิด Read More »

“ตรุษจีน” วันแห่งการเฉลิมฉลองความมงคลที่มีมาอย่างยาวนาน 

เทศกาลตรุษจีน หรือ ปีใหม่จีน เป็นหนึ่งในเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอีกเทศกาลหนึ่ง โดยเทศกาลนี้จะอยู่ในช่วงวันที่ 1 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติจีน     ทำความรู้จัก ตรุษจีน วันมงคลที่ชาวจีนให้ความสำคัญมากที่สุด  หากกล่าวถึงวันขึ้นปีใหม่ หลายคนก็จะนึกวันที่ 1 มกราคม ซึ่งเป็นวันปีใหม่สากลที่มีการจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ แต่คงไม่ใช่สำหรับชาวจีน เพราะชาวจีนนั้นมีวันปีใหม่เป็นของตัวเองมาอย่างยาวนานร่วม 4 สหัสวรรษ (4,000ปี) ที่เรียกกันว่า “วันตรุษจีน” สาเหตุที่ชาวจีนไม่ยึดถือเอาวันที่ 1 มกราคม ขึ้นมาเป็นวันปีใหม่นั้นก็มีที่มาจากการที่ เดิมทีแล้วประเทศจีน ไม่ได้มีการใช้ปฏิทินสุริยคติเหมือนกับประเทศทางฝั่งตะวันตก แต่ประเทศจีนนั้นใช้ปฏิทินที่มีการคิดค้นขึ้นมาเองภายในประเทศเรียกว่าปฏิทินจันทรคติจีน ทำให้วันที่ 1 เดือนมกราคม จะยังคงอยู่ในเดือนที่ 12 ตามปฏิทินหรือเรียกกันว่าเสียวฮั้ง (小寒) และเป็นช่วงฤดูหนาว อากาศมีความหนาวเย็น และเป็นช่วงการผสมพันธ์ของสัตว์นานาชนิดจึงไม่นิยมจัดงานเฉลิมฉลองกันเท่าใดนัก พิธีการงานมงคลช่วงฤดูหนาวของชาวจีนก่อนถึงวันปีใหม่ แต่ในช่วง 15 วันสุดท้ายของปี หรือไต้ฮั้ง (大寒) ซึ่งแปลว่า ช่วงเวลาที่มีอากาศหนาวเป็นอย่างมาก ชาวจีนจะจัดกิจกรมมมงคล อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการไหว้เทพเจ้าเตา ในวันที่ 24

“ตรุษจีน” วันแห่งการเฉลิมฉลองความมงคลที่มีมาอย่างยาวนาน  Read More »

วันขึ้นปีใหม่ หนึ่งวันมงคลของไทย-จีน

 1 มกราคม เป็นวันที่ผู้คนจากหลากหลายประเทศให้ความสำคัญ เพราะเป็นวันของการเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นศักราชใหม่ แต่ทั้งนี้วันปีใหม่ของแต่ละเชื้อชาติเองก็แตกต่างกันออกไปตามศาสนา ความเชื่อ และรูปแบบวิธีการนับตามปฏิทิน  การเปลี่ยนผ่านก่อนจะกลายมาเป็นวันขึ้นปีใหม่ในปัจจุบัน วันขึ้นปีใหม่ คือ การขึ้นรอบใหม่หลังโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 365 รอบ (ซึ่งนับเป็น 12 เดือน หรือ 1 ปี) ทั้งนี้การนับวันขึ้นปีใหม่นั้นมีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย 1 มกราคม วันขึ้นปีใหม่สากลในปัจจุบันมีที่มาจากชาวบาบิโลนย้อนกลับไปในสมัยของชาวบาบิโลน ที่มาจากชนชาติบาบิโลเนียซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำยูเฟเฟรทีสและเป็นชนชาติโบราณที่ได้คิดค้นการนับวันเวลารวมถึงการอ่านปฏิทินได้เป็นชนชาติแรก ๆ ของอารยธรรมสมัยโบราณ การนับปฏิทินตามแบบของชาวบาบิโลนนั้นจะมีการนับที่ไม่เหมือนกันกับในปัจจุบันตามที่เราคุ้นเคย เพราะชาวบาบิโลนจะมีการนับปฏิทินตามรอบของดวงจันทร์ คือ เมื่อครบรอบ 12 เดือน จะนับเป็น 1 ปี และมีการเพิ่มรอบเดือนเข้ามาอีก 1 เดือน ในทุก ๆ 4 ปี เพื่อให้ตรงกันกับฤดูกาลของโลก โดยจะนับเป็น 13 เดือน ในทุก 4 ปี ทำให้วันขึ้นปีใหม่ในยุคสมัยของชาวบาบิโลนนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปในทุก 4 ปี ปรับเปลี่ยนการนับวันขึ้นปีใหม่ครั้งแรกการนับปีใหม่ในรูปแบบของชาวบาบิโลนมีการปรับเปลี่ยนโดยชาวอียิปต์และชาวกรีก รวมไปถึงชาวเซมิติค

วันขึ้นปีใหม่ หนึ่งวันมงคลของไทย-จีน Read More »

“เทศกาลไหว้ขนมบัวลอย” ช่วงสุขสันต์พร้อมรับความมงคลในฤดูหนาว

วันไหว้ขนมบัวลอย หรือ เทศกาลตังโจ่ย จัดขึ้นในเดือน 11 ของทุกปีตามปฏิทินจันทรคติจีน เปิดที่มา เทศกาลวันไหว้ขนมบัวลอย ประวัติเทศกาลไหว้ขนมบัวลอยเทศกาลวันไหว้ขนมบัวลอย หรือ เทศกาลตังโจ่ย (冬至) เป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญของชาวจีนที่มีมาอย่างยาวนาน จะอยู่ในช่วงฤดูหนาวของประเทศจีน เรียกเป็นฤดูกาลย่อยว่าช่วงไต้เสาะ (大雪) ซึ่งจะตรงกับเดือน 11 ตามปฏิทินจันทรคติจีนเป็นวันที่กลางวันสั้นกว่ากลางคืน โดยวันนี้มีการไหว้ฟ้าดิน ปึงเถ่ากง ตี่จู่เอี้ย (เจ้าที่) เพื่อให้คุ้มครองสัตว์เลี้ยง และขอพรให้พืชผลทางการเกษตรเจริญงอกงามได้ดี ที่สำคัญคือเป็นการขอบคุณสำหรับการดำรงชีวิตอย่างราบรื่นของสมาชิกทุกคนในครอบครัวให้สามารถดำรงมาได้อย่างราบรื่นตลอดปีที่ผ่านมา และเพื่อขอพรให้ช่วยคุ้มครองคนในครอบครัวด้วยเทศกาลไหว้ขนมบัวลอย สำคัญอย่างไร เหตุใดจึงต้องบัวลอย ความสำคัญของวันไหว้บัวลอยภายในวันนี้ชาวจีนจะไหว้ขนมบัวลอย หรือ ขนมอี๋ ที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวนวดกับน้ำต้มสุกจนเข้าที่ และปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ต้มกับน้ำตาล มักมี 2 สีคือ สีขาว และ สีแดง ซึ่งเป็นสีมงคลของจีนและเมื่อไหว้เสร็จก็จะมีธรรมเนียมร่วมกันกินขนมบัวลอย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีและการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน จนมีคำกล่าวที่ว่า “ไม่กลับบ้านช่วงเทศกาลตังโจ่ยเท่ากับไม่มีบรรพบุรุษ” (冬節不回家無祖) ยิ่งเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตามนอกจากไหว้ขนมบัวลอยแล้ว ในช่วงเทศกาลตังโจ่ยหรือออกเสียงตามจีนกลางว่าตงจื่อ(冬至) ยังเป็นช่วงไหว้บรรพบุรุษในฤดูหนาว ซึ่งบางบ้านจะนิยมมาไหว้ในช่วงนี้หากไม่สามารถไหว้บรรพบุรุษในช่วงเทศกาลเช็งเม้งได้ ทำไมถึงต้องใช้ขนมบัวลอยในการไหว ขนมบัวลอยถูกเรียกกันในอีกชื่อว่า  ฝูหยวนจื่อ (浮圆子)

“เทศกาลไหว้ขนมบัวลอย” ช่วงสุขสันต์พร้อมรับความมงคลในฤดูหนาว Read More »

ดูฤกษ์เเต่งงาน ดีอย่างไร

ฤกษ์แต่งงานที่ดีจะช่วยส่งเสริมให้ทั้งสองครอบครัวปรองดองกลมเกลียว ฤกษ์แต่งงานที่ดีจะส่งเสริมชีวิตการทำงานให้ก้าวหน้ารุ่งเรือง ธุรกิจเจริญ เติบโต ผลกำไรมั่งคั่ง ฤกษ์แต่งงานที่ดีจะส่งผลให้ครอบครัวปรองดองรักใคร่ บุตรหลานเติบโต ท่ามกลางความรักความอบอุ่น เป็นผู้ดำรงวงศ์ตระกูลที่ดี ฤกษ์แต่งงานจึงสำคัญมากเพราะเมื่อได้เลือกแล้วจะส่งผลไปตลอดชีวิตคู่ ทุกคนปรารถนาให้งานแต่งงานของตน เต็มไปด้วยความสุขสันต์ราบรื่น เราก็หวัง ให้ท่านสมปรารถนา ……ให้โหราศาสตร์น่ำเอี๊ยง เคียงคู่ความสัมพันธ์นิรันดร์ของท่าน…….

ดูฤกษ์เเต่งงาน ดีอย่างไร Read More »

วันไหนบ้างที่ไม่ควรใช้เป็นฤกษ์แต่งงาน

ความเชื่อเกี่ยวกับ “ฤกษ์ ” มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งมาตั้งแต่โบราณ ไม่ว่าจะเป็นการค้าขาย เปิดกิจการ ขึ้นบ้านใหม่ หรือแม้กระทั่งแต่งงาน ก็ควรจะหาฤกษ์ดีเอาไว้ เพื่อเสริมสร้างความราบรื่นและความเป็นสิริมงคลให้เกิดแก่ชีวิต การแต่งงานนั้นถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิต ดังนั้นคู่บ่าวสาวจึงควรให้ความสำคัญกับการเลือกฤกษ์แต่งงาน หาวันที่เป็นฤกษ์ดีเพื่อนำพาความราบรื่น และหลีกเลี่ยงวันไม่ดีเพื่อเลี่ยงอุปสรรคต่างๆ ตามหลักโหราศาสตร์จีน วันกาลกิณี วันอุบาทว์ วันเดือนแตก ปีแตกต่างๆ ไม่ควรแต่งงานเด็ดขาด แต่งงานทั้งทีต้องฤกษ์เลือกสรรวันดีๆ ให้เหมาะกับตนเองมากที่สุด อย่างไรก็ควรเลี่ยงวันไม่ดีเหล่านี้ ฤกษ์แต่งงานมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ที่จะช่วยส่งเสริมความมงคล นำพาความราบรื่น มาสู่ชีวิตคู่ ฤกษ์แต่งงานที่ดีมีไม่มาก แต่เรากล้ารับประกันว่าสามารถเลือกฤกษ์แต่งงานที่เหมาะสมที่สุดให้คุณได้ ติดต่อบริการฤกษ์มงคล

วันไหนบ้างที่ไม่ควรใช้เป็นฤกษ์แต่งงาน Read More »

Scroll to Top