Author name: admin

เทศกาลกินเจ

ทำความรู้จัก…เนื้อจากพืช เนื้อจากพืช (Plant-based meats) คืออาหารที่สร้างมาจากพืชเพื่อทดแทนเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นเบอร์เกอร์ เบคอน นักเก็ต ไส้กรอก ฯลฯ โดยได้นำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการปรุงอาหารอย่างสร้างสรรค์ ใช้โปรตีนและสารสกัดพืช เช่น ถั่ว ถั่วเหลือง ข้าวสาลี เพื่อเลียนแบบรสชาติ เนื้อสัมผัส และรูปลักษณ์ของเนื้อสัตว์จริง ในปัจจุบันเนื้อจากพืชได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สำหรับการรับประทานเพื่อสุขภาพ เหตุผลด้านจริยธรรม หรือเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมเนื้อจากพืชได้กลายมาเป็นหนึ่งในทางเลือกในการรับประทานอาหาร แล้วคำถามที่น่าจะมีคนจำนวนมากสงสัยก็คือ มันดีต่อสุขภาพหรือไม่? อาหารที่ทำมาจากพืชเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยระบุว่าอาหารจากพืชเป็นประโยชน์สำหรับการควบคุมน้ำหนัก โรคเบาหวาน และไมโครไบโอม ทั้งยังอาจช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด แต่ผลิตภัณฑ์จากพืชบางชนิดมีโซเดียมเสริม ทั้งอาจมีไขมันอิ่มตัวสูง และเนื้อสัตว์จากพืชอาจมีสังกะสีและแร่ธาตุอื่นๆ น้อยกว่าเนื้อสัตว์ทั่วไปด้วย อย่างไรก็ตาม เนื้อจากพืชที่มีวางขายในปัจจุบันมีสารอาหารที่แตกต่างกันออกไป และมีจุดแข็งจุดอ่อนทางโภชนาการที่แตกต่างกัน ผู้ที่ต้องการรับประทานเนื้อจากพืชควรคำนึงถึงสารอาหารที่เหมาะสมกับตัวเอง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพของตัวเองด้วยเช่นกัน เนื่องในเทศกาลกินเจที่จะถึงนี้ สำนักโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะแนะนำเนื้อจากพืชที่น่าสนใจเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรับประทานอาหารในช่วงเทศกาลกินเจ เป็นการช่วยสดการบริโภคเนื้อสัตว์และยังช่วยลดโลกร้อนอีกด้วย ​ในเทศกาลกินเจปีนี้ เชิญชวนทุกท่านมาร่วมถือศีลกินผัก ลดการเบียดเบียนชีวิตของเพื่อนร่วมโลก ละการสร้างบาป สั่งสมบุญกุศล และสำนักโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงหวังว่าเนื้อจากพืชที่ได้แนะนำจะช่วยสร้างสรรค์ช่วงเวลาดีๆ ระหว่างเทศกาลกินเจของทุกท่านค่ะReferences:

ไท่ซ่างเหล่าจวินเทพสูงสุดแห่งเต๋าและอีกบทบาทที่แตกต่าง

‘พิจารณาต้นไม้ที่ให้นกเกาะและบินจากไปโดยปราศจากการเชื้อเชิญให้พวกมันอยู่ต่อและไร้ปรารถนาให้พวกมันไม่จากไปหากหัวใจของท่านเป็นเช่นนี้ได้ท่านก็ใกล้ถึงวิถีแห่งเต๋า’เล่าจื๊อ (老子) ประโยคข้างต้นเป็นประโยคของเล่าจือ นักปราชญ์ผู้มีชีวิตจริงในประวัติศาสตร์จีนโบราณที่เชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งชาติในการกลับมาเกิดใหม่ของไท่ซ่างเหล่าจวิน (太上老君: tài shàng lǎo jūn) ผู้เป็นหนึ่งในสามเทพเจ้าสูงสุดแห่งลัทธิเต๋าที่เรียกว่าซานชิง (三清: sān qīng) ไท่หยางเซียงจวินยังเป็นที่รู้จักในชื่อเต้าเต๋อเทียนจุนและไท่ชิง ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นแบบอย่างของลัทธิเต๋า เป็นผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋า รวมทั้งยังเชื่อว่าเป็นผู้เขียนตำราเต้าเต๋อจิง ตำราที่บอกเล่าวิถีแห่งเต๋าสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน นอกเหนือจากบทบาทที่ได้กล่าวมาแล้ว ไท่ซ่างเหล่าจวินยังมีบทบาทที่แตกต่าง ซึ่งปรากฏในวรรณกรรมเรื่องไซอิ๋ว (the Journey to the West) คือการเป็นผู้คิดค้นสรรพาวุธและนักเล่นแร่แปรธาตุ ครั้งนั้นราชาวานรหรือซุนหงอคง ได้ก่อความวุ่นวายให้กับทั้งสวรรค์ นรก และโลกมนุษย์ ผู้คนต่างหาวิธีฆ่าซุนหงอคงแต่ไม่เป็นผล ไท่ซ่างเหล่าจวินจึงร่วมมือกับจักรพรรดิหยกเพื่อนำความสงบสุขกลับมา ไท่ซ่างเหล่าจวินได้คิดค้น เตายันต์แปดเหลี่ยม (Brazier of Eight Trigrams) แล้วปรับปรุงส่วนผสมหลายอย่างลงไป เช่น ไม้เท้าวิเศษของซุนหงอคง, ฟันเก้าซี่ของพิกซี่, กระดิ่งสีม่วงทอง และส่วนประกอบอื่นอีกมากมาย เพื่อแยกยาอายุวัฒนะซึ่งตอนนั้นก่อตัวเป็นก้อนแข็งในท้องของซุนหงอคงเพื่อให้ราชาวานรอ่อนแอแล้วสังหาร แต่ในท้ายที่สุดซุนหงอคงก็ไม่ตาย เตายันต์แปดเหลี่ยมนับว่าเป็นอาวุธในตำนาน เผาไหม้ด้วยสี่เพลิงสวรรค์อันยิ่งใหญ่ สร้างขึ้นมาจากแปดส่วนประกอบได้แก่ สวรรค์, น้ำ, ขุนเขา, สายฟ้า, สายลม, …

ไท่ซ่างเหล่าจวินเทพสูงสุดแห่งเต๋าและอีกบทบาทที่แตกต่าง Read More »

เจ้าแม่กวนอิม

​กวนอิม แปลว่า ผู้สดับรับฟังเสียง และตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เสียงของลูกหลานผู้ที่ศรัทธาในพระองค์ก็ยังคงดังชัดเจนถึงพระกรรณเสมอมา ..นำ มอ กวน ซือ อิม ผ่อ สัก.. ทำไมผู้นับถือเจ้าแม่กวนอิมถึงไม่รับประทานเนื้อวัว? เนื่องจากพระราชบิดาของเจ้าแม่กวนอิมได้ไปเกิดใหม่เป็นวัวหนึ่งพันชาติอันเนื่องมาจากกรรมเก่า ดังนั้นเจ้าแม่กวนอิมจึงไม่เสวยเนื้อวัว ผู้ที่ศรัทธาในเจ้าแม่กวนอิมจึงพลอยไม่รับประทานเนื้อวัวตามไปด้วย เพื่อเป็นการป้องกันให้ไม่เผลอรับประทานวัวอันอาจจะเป็นพระราชบิดาของเจ้าแม่ด้วยความไม่รู้ และนัยว่าเป็นการสร้างบุญกุศลให้แก่พระราชบิดาของเจ้าแม่นั่นเอง กิ่งไม้ที่เจ้าแม่กวนอิมถือคือกิ่งอะไร มีความหมายว่าอย่างไร? กิ่งไม้ที่เจ้าแม่กวนอิมถือคือ กิ่งหลิว มีไว้สำหรับประพรมน้ำอมฤตแก่ผู้ที่ศรัทธาในพระองค์ และมีความหมายถึงการปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งที่ยืดหยุ่นแต่ไม่แตกหักอีกด้วย Reference:

มาจู่ vs จุยบวยเนี้ยเจ้าแม่ทับทิมเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน

ความเชื่อเรื่องเทพ เทวดา ผีสาง และสิ่งเหนือธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่แทบจะทุกภูมิภาคของโลก มีเรื่องราวอันเป็นเอกลักษณ์ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้คนที่เป็นเจ้าของกำเนิดเรื่องราวนั้นๆ และเมื่อมีการโยกย้ายถิ่นฐานของผู้คน นอกจากปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการดำรงชีวิตแล้ว สิ่งที่ผู้อพยพเอาติดตัวมาด้วยก็คือความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่เมื่อได้เข้ามาอยู่ในวัฒนธรรมประเพณีที่แตกต่างและผ่านเวลามายาวนาน เรื่องราวความเชื่อบางเรื่องก็ถูกบิดเบือนให้ต่างไปจากเดิม รวมทั้งอาจมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ด้วย เช่นเดียวกับความเชื่อเรื่อง ‘แม่ย่านาง’ ที่คนไทยนับถือ ซึ่งต้นกำเนิดความเชื่อนี้มาจากเทพนารีจีนองค์สำคัญที่ชื่อ ‘เจ้าแม่ทับทิม’ นามเจ้าแม่ทับทิมที่คนไทยเรียก ไม่ได้แปลตรงตัวจากชื่อเทพต้นกำเนิดจากภาษาจีน แต่มาจากลักษณะเด่นที่เห็นเมื่อมีการสร้างเทวรูปบูชา คือมีเครื่องทรงสีแดงทับทิม เจ้าแม่ทับทิมมีชื่อเสียงโดดเด่นในฐานะที่เป็นเทพแห่งการเดินเรือ แต่เมื่อสืบสาวหาต้นกำเนิดเทพคุ้มครองทางเรือของชาวจีนที่บูชากันอยู่ทั่วไปกลับมีถึง 2 องค์ คือ มาจู่ เทพของจีนมณฑลฮกเกี้ยนและ จุยบวยเนี้ย เทพของจีนไหหลำ เนื่องจากเทพทั้งสององค์มีลักษณะคล้ายกัน อีกทั้งยังเป็นเทพที่เกี่ยวกับแม่น้ำเช่นกัน ทำให้คนไทยเกิดความสับสนจึงเรียกเทพทั้งสององค์นี้รวมกันว่าเจ้าแม่ทับทิม วันนี้เราจะพามาสืบสาวประวัติเทพนารีทั้งสององค์นี้กัน พระแม่มาจู่ (Goddess of the Sea) เป็นเทพประจำของจีนมณฑลฮกเกี้ยน ก่อนจะแพร่กระจายความศรัทธาไปทั่วแผ่นดินจีนและทั่วโลก ได้รับการสถาปนาจากฮ่องเต้ ราชวงศ์ ซ่ง หยวน หมิง และชิง พระแม่มาจู่มีชื่อที่หลากหลาย คือ หลินสื้อหนี่ว์ (หญิงแซ่หลิน) หลงหนี่ว์ (นางมังกร) หลิงหนี่ว์ (นางผู้มีฤทธิ์) …

มาจู่ vs จุยบวยเนี้ยเจ้าแม่ทับทิมเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน Read More »

การนับชั่วโมงแบบจีน (时辰) เรียกช่วงเวลาตามปีนักษัตร

สาระสั้น ๆ จากน่ำเอี๊ยงวันนี้จะขอพูดถึง “การนับชั่วโมงแบบจีน” โดยหลักโหราศาสตร์จีนจะแบ่งช่วงเวลาในหนึ่งวันออกเป็นยามต่าง ๆ 12 ยาม (时辰) แล้วเรียกชื่อแต่ละยามตามปีนักษัตร ซึ่งจะเริ่มนับยามแรกที่ปีชวดแล้วนับถัดไปเรื่อย ๆ จนถึงปีกุน จะแบ่งนักษัตรละ 2 ชั่วโมง เรียกว่า 1 ชั่วยาม รวมทั้ง 12 นักษัตรก็จะครบ 24 ชั่วโมง หรือ 1 วันพอดี  หลักการแบ่งเวลาเช่นนี้มีผลอย่างมากในการทำนายโหราศาสตร์จีน เพราะจำเป็นต้องใช้ขึ้นดวงแต่ละบุคคลในแผนผังอ่านดวงชะตาที่เรียกว่า ปาจื้อ (八字) คล้าย ๆ กับการผูกดวงแบบโหราศาสตร์ไทย ถ้าเรารู้เวลาเกิดของเราก็จะสามารถเทียบออกมาได้ว่าเราเกิดตรงกับช่วงยามไหน  ที่น่ำเอี๊ยงเวลาซินแสดูฤกษ์ยามก็จะยึดช่วงเวลาเกิดตามหลักการนี้ในการคำนวณ เพื่อให้ได้ฤกษ์ยามที่ดีและเหมาะสมกับคน ๆ นั้นมากที่สุด ส่วนฤกษ์ที่มีผู้เกี่ยวข้องหลายคน เช่น คลอดบุตรก็จะใช้ช่วงเวลาเกิดของคุณพ่อคุณแม่ในการคำนวณหาวันเกิดที่ดีที่สุดของลูก  ช่วงเวลาที่ได้รับไปจึงมีความสมพงษ์หรือ ฮะ (合) กับชะตาของคุณที่คำนวณมาเพื่อคุณคนและคุณที่คุณรัก

อิ่มบุญครั้งใหญ่ในช่วงกินเจ เทศกาลแห่งการทำบุญเสริมความมงคล

ความเป็นมาเทศกาล เจ กินผักรับบุญ ประวัติเทศกาลกินเจเทศกาลกินเจ หรือ เทศกาลถือศีลกินผัก ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปีตามปฏิทินจันทรคติจีน มีมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล ชาวจีนมีความเชื่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่รับของเซ่นไหว้หรือใส่ใจผู้ที่มลทิน ดังนั้นก่อนทำพิธีเซ่นไหว้ต่าง ๆ พวกเขาจะทำการชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ที่สุด โดยการเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ถือศีลงดอาหารคาว งดประพฤติในกาม ซึ่งต้องปฏิบัติตามระยะเวลาที่กำหนด และนี่คือ “จุดเริ่มต้น ของประเพณีกินเจ” นิยามของ “การกินเจ” ในปัจจุบัน ผ่านเวลาหลายทศวรรษ ส่งผลให้การกินเจมีความเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต​เทศกาลการกินเจ จากจีน สู่ไทยเทศกาลกินเจในประเทศไทย ไม่มีหลักฐานว่าเริ่มต้นขึ้นในสมัยใดแต่หากย้อนกลับไปและอ้างอิงหลักฐานในทางประวัติศาสตร์ พบว่ามีความเป็นไปได้ที่เทศกาลกินเจจะถูกนำเข้ามาเผยแพร่ยังประเทศไทยโดยคณะงิ้วและกลุ่มอั้งยี่ ซึ่งเป็นคนจีนที่อพยบโยกย้ายเข้ามาประกอบอาชีพในประเทศไทย จึงได้นำเอาประเพณีการกินเจเข้ามาด้วย แล้วผสมเข้ากับวัฒนธรรมในประเทศไทยจนก่อให้เกิดเป็นเทศกาลกินเจอันมีเอกลักษณ์สืบมาจนถึงปัจจุบัน​ความหมายของตัวอักษร เจ บนธงสีเหลืองเจ (齋) ตัวอักษรที่เขียนเอาไว้บนธงสีเหลือ แปลว่า “การงดเว้นเพื่อความบริสุทธิ์” ตัวอักษรเจนั้นเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจ ที่ไม่ใช่เพียงบอกให้งดเว้นในการทานเนื้อสัตว์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องงดเว้นจากอบายมุข ไม่ว่าจะเป็น การงดเว้นจากประพฤติในกาม การงดเว้นจากความรื่นเริง การงดเว้นจากการละเล่นอันก่อให้เกิดความมั่วเมา และ …

อิ่มบุญครั้งใหญ่ในช่วงกินเจ เทศกาลแห่งการทำบุญเสริมความมงคล Read More »

วันไหว้พระจันทร์ ขอพรความรักให้สุขสมหวัง เปิดรับพลังแห่งความงาม

วันไหว้พระจันทร์ คือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปีตามปฏิทินจันทรคติจีน ภาษาจีนอ่านว่า “จงชิวเจี๋ย หรือ ตงชิวโจ่ย” (中秋節) มีความหมายว่า “เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง” ซึ่งตรงกับช่วงเวลาแห่งฤดูกาลเก็บเกี่ยว ทำให้มีท้องฟ้าที่แจ่มใส ไร้เมฆฝน อากาศปลอดโปร่ง ดวงจันทร์แจ่มกระจ่างเต็มดวง ประวัติที่มา กำเนิดวันไหว้พระจันทร์ เรื่องเล่าขานจากตำนานแห่งความรัก ​ วันไหว้พระจันทร์ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ วันไหว้พระจันทร์ ถูกจัดขึ้นในช่วงฤดูชิวฮุง(秋分) ซึ่งเป็นช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงของชาวจีน ในอดีตเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิฮ่องเต้จะทำพิธีไหว้พระอาทิตย์ก่อน แล้วจึงค่อยจัดพิธีการไหว้พระจันทร์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง ในขณะที่ชาวบ้านก็จะมีการไหว้พระจันทร์เพื่อให้พืชผลทางการเกษตรอุดมสมบูรณ์ ในช่วงวันที่ 15 เดือน 8 เช่นเดียวกัน นอกจากการไหว้พระจันทร์ของฮ่องเต้แล้ว ยังมีการไหว้ของฮองเฮาที่มักจะทำคู่กันอย่างการไหว้เทพผู้เฒ่า ซึ่งเป็นการไหว้ดวงดาวประจำทิศใต้ เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้มีอายุยืนยาว ​ ตำนานฉางเอ๋อ เทพธิดาบนดวงจันทร์ ฉางเอ๋อ (嫦娥) เป็นเทพธิดาที่อยู่บนดวงจันทร์ตามความเชื่อของลัทธิเต๋า ในอดีตฉางเอ๋อเป็นคนรักของโฮวอี้ นักแม่นธนูของสวรรค์ โฮวอี้ได้รับภารกิจให้ไปกำราบพระอาทิตย์ซึ่งมีหมด 10 ดวงและพากันคึกคะนองส่องแสงเล่นพร้อมกันจนทำให้เกิดความเดือนร้อน โฮวอี้ได้ยิงธนูดับดวงอาทิตย์ไปทั้ง 9 ดวง จนทำให้โลกเหลือพระอาทิตย์แค่ดวงเดียวทำให้จักรพรรดิมสวรรค์ไม่พอใจ จึงได้เนรเทศโฮวอี้พร้อมกับฉางเอ๋อให้ลงไปอาศัยอยู่ยังโลกมนุษย์ …

วันไหว้พระจันทร์ ขอพรความรักให้สุขสมหวัง เปิดรับพลังแห่งความงาม Read More »

สารทจีน บรรพบุรุษกลับมาเยี่ยมลูกหลาน พร้อมเปิดเส้นทางทัวร์นรกตามความเชื่อชาวจีน

วันสารทจีน หรือ ตงง้วงโจ่ย เป็นเทศกาลรำลึกถึงวิญญาณบรรพบุรุษจะจัดขึ้นวันที่ 15 เดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติจีน วันสารทจีนเป็นวันที่มีประวัติความเป็นมา รวมถึงตำนานเรื่องเล่าและประเณีที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ประวัติที่มา ตำนานความเชื่อ เทศกาลสารทจีน ประวัติวันสารทจีนตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ เทศกาลสารทจีน มีที่มาจากการไหว้บรรพบุรุษประจำฤดูใบไม้ร่วงที่เรียกกันว่าฤดูชู้สู้ (處暑) ซึ่งเป็นฤดูกาลย่อยหนึ่งใน 24 ฤดูกาลของประเทศจีน โดยมีการกำหนดเอาวันที่ 15 เดือน 7 เป็นวันสำหรับจัดพิธีการไหว้บรรพบุรุษ คาดว่าพิธีการไหว้นี้เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน หรือราวช่วง2,100 ปีก่อนคริสตกาล เดิมทีการไหว้บรรพบุรุษนี้จะจัดขึ้นเฉพาะภายในวังหลวงเป็นธรรมเนียมประจำปีของเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูงเท่านั้น ก่อนที่จะมีการแพร่หลายออกไปสู่ผู้คนภายนอกวังหลวง จนเกิดเป็นธรรมเนียม สารทการไหว้บรรพบุรุษ ที่สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน​จากการไหว้บรรพบุรุษ สู่การไหว้ผีไม่มีญาติการปรับเปลี่ยนธรรมเนียมการไหว้สารทจีนให้เป็นเทศกาลเซ่นไหว้วิญญาณไร้ญาติ จากเดิมทีที่เป็นการไหว้ฤดูใบไม้ร่วงเพื่อแสดงความกตัญญูและขอพรกับบรรพบุรุษนั้น เกิดขึ้นในช่วงที่ลัทธิเต๋ามีความรุ่งเรืองไปจนกระทั่งถึงช่วงของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ตามอิทธิพลทางด้านความเชื่อที่เชื่อมโยงกับพระพุทธศาสนา ที่ว่าด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศล​ตำนานสารทจีนนอกจากความเป็นมาทางด้านประวัติศาสตร์แล้ว สารทจีน ยังมีความเป็นมาจากตำนานเรื่องเล่าทั้งหมด 2 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ ตำนานการอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณร้ายตามความเชื่อของชาวจีนเกี่ยวกับเรื่องของโลกหลังความตาย วิญญาณจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 2 ประเภท คือวิญญาณดีและวิญญาณที่ทำบาปหนัก วิญญาณดีจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีหรือเมื่อตายก็จะได้ไปอยู่ที่แดนสุขาวดี ดินแดนตามความเชื่อของพระพุทธศาสนานิกายมหายาน อันที่ประทับของพระโพธิสัตว์กวนอิม แต่วิญญาณที่ทำบาปหนักต้องทนทุกข์ทรมานรับกรรมอยู่ในนรกภูมิ พบเจอกับอดอยาก หิวโหย ทำให้ชาวจีนที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเกิดความสงสาร …

สารทจีน บรรพบุรุษกลับมาเยี่ยมลูกหลาน พร้อมเปิดเส้นทางทัวร์นรกตามความเชื่อชาวจีน Read More »

ไหว้ขอพรเจ้าแม่กวนอิมปางต่าง ๆ พร้อมบทสวดบูชาเสริมความเมตตา

วันรำลึกพระโพธิสัตว์กวนอิม คือ วันที่ 19 เดือน 6 ตามปฏิทินจัทรคติจีน เป็นวันที่พระแม่กวนอิมบรรลุธรรมได้เป็นพระโพธิสัตว์ หรือ ผ่อสัก (菩薩) ในสำเนียงแต้จิ๋ว หมายถึงผู้ตั้งจิตแน่วแน่ในการบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคต เจ้าแม่กวนอิม การผสมผสานของตำนานและความเชื่อ ที่มาของเจ้าแม่กวนอิมพระแม่กวนอิม หรือ พระโพธิสัตว์กวนอิม เป็นพระโพธิสัตว์ในทางพุทธศานานิยามหายาน ซึ่งเป็นองค์เดียวกันกับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ที่มีต้นกำเนิดมาจากทางฝั่งประเทศอินเดีย ก่อนที่ประเทศจีนจะรับเอาพระพุทธศาสนาเข้ามา และมีการหลอมรวมเข้ากับตำนานความเชื่อดั้งเดิมของทางจีน จนเกิดเป็นตำนานพระโพธิสัตว์กวนอิม​ตำนานที่ก่อเกิดเป็นเจ้าแม่กวนอิม ในฝั่งประเทศจีนตำนานเจ้าหญิงเมี่ยวซาน ตำนานกำเนิดเจ้าแม่กวนอิมของประเทศจีน โดยตำนานเล่าว่า เจ้าหญิงเมี่ยวซาน เป็นพระราชธิดาองค์เล็กสุด ของพระเจ้าเมี่ยวจง กับ พระนางเซี่ยวหลิน เมื่อถึงวัยเจริญชันษาที่ต้องออกเรือนเจ้าหญิงเมี่ยวซ่านไม่ประสงค์จะอภิเษกกับผู้ใด เพราะนางนั้นเป็นพุทธมามะกะศรัทธาเลื่อมใสในหลักพระธรรมและตั้งใจแน่วแน่ที่จะอุทิศตนให้กับทางธรรม ทำให้พระเจ้าเมี่ยวจงไม่พอพระทัยในตัวของนาง และได้ส่งให้นางไปทำงานหนักในสำนักชีแต่เจ้าหญิงเมี่ยวซานก็ไ่ม่ได้รู้สึกโกรธเคืองพระบิดาแต่อย่างใด นางได้เจริญภาวนาบำเพ็ญเพียร ทำทานโปรดสัตว์นางได้บรรลุธรรมขั้นสูงกระทั่งตรัสรู้กลายเป็นพระโพธิสัตว์ในที่สุดความศรัทธานับถือบูชาในเจ้าแม่กวนอิม​ลัทธิบูชาเจ้าแม่กวนอิมการบูชาเจ้าแม่กวนอิมนั้น มีความเชื่อมาจากทางฝั่งพระพุทธศาสนาในนิกายมหายาน องค์พระโพธิสัตว์กวนอิม หรือ เจ้าแม่กวนอิมเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างสุดในทางมหายาน ในฐานะของพระโพธิสัตว์ที่มาโปรดสัตว์เพื่อให้บรรลุธรรมและไปเกิดในแดนสุขาวดี ซึ่งเป็นดินแดนของผู้บรรลุนิพานแล้วเท่านั้น ผู้ที่ได้ไปเกิดในดินแดนนี้จะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกเป็นการละไว้ซึ่งวัฏจักรสังขาร​เมื่อบูชาเจ้าแม่กวนอิมแล้ว เหตุใดจึงไม่กินเนื้อเจ้าแม่กวนอิม นับเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งที่มีความเมตตาปราณี หวังช่วยให้มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกพ้นจากความสุขเพื่อที่จะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดตามวัฏจักรสังขารอีก เจ้าแม่กวนอิมจึงมีการบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่เสมอ ละเว้นซึ่งกิเลสตัณหาและการกินเนื้อสัตว์ นั่นจึงทำให้เป็นเหตุผลว่า เพราะเหตุใดผู้ที่เคารพนับถือเจ้าแม่กวนอิมส่วนใหญ่แล้วมักจะนิยมทานอาหารเจหรือมังสวิรัติที่ไม่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์เลย เจ้าแม่กวนอิมมีมากกว่า 1 ปาง …

ไหว้ขอพรเจ้าแม่กวนอิมปางต่าง ๆ พร้อมบทสวดบูชาเสริมความเมตตา Read More »

เปิดที่มา “บะจ่าง” อาหารมงคลในตำนานที่ก่อเกิดเป็นเทศกาลสำคัญในปัจจุบัน

วันที่ 8 เดือน 4 ตามปฏิทินจันทรคติจีน เป็นวันรำลึกถึงพระยูไล หรือไม่ใช่เพียงแค่บรรพบุรุษเท่านั้นที่ชาวจีนให้ความสำคัญ แต่อาหารก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เมื่อถึงเวลาต้องจัดงานเฉลิมฉลอง ชาวจีนจะมีการทำอาหารซึ่งเชื่อว่ามีความมงคลมาเป็นส่วนประกอบในพิธีต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “บะจ่าง” อาหารอันมีที่มาจากตำนานความรักชาติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามคติจีน  ตำนานความรักชาติ ที่มาของการไหว้บะจ่าง เทศกาลไหว้บะจ่าง หรือ ตวงโหงวโจ่ย จัดขึ้นในช่วงวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติจีน เทศกาลนี้มีที่มาจากตำนาน “กวีผู้รักชาติ” ชีหยวน กวีรักชาติผู้ซื่อสัตย์ในยุคสมัยของเลียดก๊ก มีข้าราชการผู้หนึ่งนามว่า “ชีหยวน” เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการแต่งบทกวีและการบริหารบ้านเมือง ชีหยวนคอยเป็นที่ปรึกษางานราชกิจการบ้านการเมืองให้แก่กษัตริย์ นอกจากความรู้ที่มีแล้วชีหยวนยังเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดี ซื่อสัตย์และยึดมั่นในคุณธรรมทำให้เขาได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์เป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดความริษยาต่อตัวของเขาในหมู่ขุนนางจึงทำให้ชีหยวนนั้นถูกกลั่นแกล้งในการทำงาน และความเชื่อใจของเขาที่กษัตริย์มีให้ก็ได้ถูกลดทอนลง เมื่อมีศัตรูเข้ามาบุกยึดเมืองทำให้กษัตริย์ไม่เชื่อคำพูดว่าของชีหยวนว่าห้ามทำศึก ไม่อย่างนั้นจะต้องเสียเมืองไป แต่กษัตริย์กลับไม่เชื่อคำพูดของชีหยวน สุดท้ายก็แพ้การศึกและเสียเมืองให้ศัตรู ตามหาศพ ต้นกำเนิดบะจ่างชีหยวนได้แต่งกวีบทหนึ่งพรรณาถึงความเศร้าโศกเสียใจที่บ้านเมืองตกไปเป็นของศัตรูเอาไว้ ก่อนจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ด้วยความผิดหวังในวันที่ 5 เดือน 5 เมื่อชาวบ้านทราบเรื่องเข้าต่างก็รู้สึกอาลัยในตัวชีหยวนเป็นอย่างมาก จึงได้มีการพายเรือตามหาศพของชีหยวน เพื่อกู้ศพขึ้นมาประกอบพิธีศพให้ถูกต้องแต่ด้วยความที่ในน้ำบริเวณนั้นมีปลาและสัตว์น้ำอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านจึงกลัวว่าปลารวมถึงสัตว์น้ำเหล่านั้นอาจจะมาแทะกินศพของชีหยวนจนได้รับความเสียหาย จึงได้นำข้าวมาห่อด้วยใบไผ่แล้วโยนลงไปในน้ำเพื่อให้เป็นอาหารของสัตว์แทน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดเป็นเทศกาลการไหว้บะจ่าง อย่างที่เราคุ้นเคยกันในทุกวันนี้ …

เปิดที่มา “บะจ่าง” อาหารมงคลในตำนานที่ก่อเกิดเป็นเทศกาลสำคัญในปัจจุบัน Read More »

น่ำเอี๊ยงแนะนำวิธีการขอพรพระยูไล รับความเป็นสิริมงคลตลอดปี

วันที่ 8 เดือน 4 ตามปฏิทินจันทรคติจีน เป็นวันรำลึกถึงพระยูไล หรือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามคติจีน พระยูไล พระพุทธเจ้าตามความเชื่อของชาวจีน พระยูไลตามตำนานความเชื่อพระยูไล (如来) มีตำนานที่เกี่ยวข้องกับบทประพันธ์ในวรรณคดีเรื่องไซอิ๋ว ซึ่งพระองค์ได้รับหน้าที่มาปราบ ซุนหงอคง หรือ เห้งเจีย ลิงหินผู้มีฤทิธิ์มาก ที่เกิดความทะนงตนไปท้าท้ายพระยูไลเข้า ด้วยการพนันขันต่อว่าตนนั้นสามารถกระโดดข้ามฝ่ามือของพระยูไลได้อย่างง่ายดาย ซึ่งฝ่ามือนั้นคือภูเขาทั้ง5ลูก แต่เมื่อหงอคงเริ่มกระโดดกลับไม่สามารถกระโดดข้ามพ้นภูเขาทั้ง5ลูกได้เลย กระทั่งถูกพระยูไลสยบลงในที่สุดด้วย ด้วยการกักขังหงอคงเอาไว้ใต้ภูเขา ที่เรียกกันว่า “ภูเขาอู่จื่อซาน”(五指山) ส่วนในปัจจุบันนี้ภูเขาอู่จื่อซานหรือภูเขา5ยอด ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวและมรดกทางธรรมชาติอันสำคัญแห่งหนึ่งของชาวจีน และด้วยตำนานดังกล่าว ทำให้กลายเป็นที่มาของ “ฝ่ามือพระยูไล” อันเป็นประติมากรรมที่เกี่ยวข้องกับองค์พระยูไล ประวัติพระยูไลพระยูไล (如来) หรือที่ภาษาจีนออกเสียงว่า หรูไหล เป็นคำเรียกลงท้ายพระพุทธเจ้าของชาวจีนเนื่องจากชาวจีนนับถือพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ จึงมีการสันนิษฐานกันว่าพระยูไลในที่นี้ อาจเป็นพระพุทธเจ้า 3 องค์นี้ ได้แก่1. ศายมุนีพุทธเจ้า (釈迦如来)2. พระอมิตาพุทธเจ้า (阿弥陀如来)3. พระไภษัชยครุพุทธเจ้า (薬師如来)เพราะจะเห็นได้ว่าทุกพระองค์ล้วนมีพระนามยูไลต่อท้ายเสมอและพระยูไลที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย มักจะอยู่ในรูปลักษณะที่ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ดอกบัว มือซ้ายยกขึ้นประทานพร พระพักตร์เปี่ยมไปด้วยความเมตตา มีประกายรัศมีสว่างไสวโชติช่วงดั่งแสงของดวงอาทิตย์ บนอกมีเครื่องหมายสวัสติกะ อันเป็นเครื่องหมายของทางพระพุทธศาสนาฝ่ายนิกายมหายานปรากฏอยู่ด้วย ของไหว้ขอพรพระยูไล​ส่วนของไหว้ที่ควรนำไปถวายเพื่อขอพรพระยูไลนั้น ก็มีดังนี้​1. …

น่ำเอี๊ยงแนะนำวิธีการขอพรพระยูไล รับความเป็นสิริมงคลตลอดปี Read More »

เทศกาลตังโจ่ย (冬節) ของชาวจีนทางเหนือและชาวจีนทางใต้แตกต่างกันอย่างไร?

เทศกาลตังโจ่ย ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญมากทั้งสำหรับชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน เรียกได้ว่ามีความสำคัญไม่แพ้ช่วงเวลาตรุษจีนเลยทีเดียว เมื่อถึงเทศกาลนี้ ชาวจีนในแต่ละท้องถิ่นจะมีการเฉลิมฉลองที่แตกต่างกันออกไป สำหรับชาวไทยที่ศึกษาวัฒนธรรมจีนอาจจะคุ้นเคยกับการรับประทานขนมบัวลอย  ในช่วงเทศกาลดังกล่าว อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมที่เราคุ้นเคยกันนั้นเป็นของชาวจีนทางใต้ เช่น จีนแต้จิ๋ว จีนกวางตุ้ง จีนแคะ ส่วนชาวจีนทางเหนือกลับไม่ได้ทานขนมบัวลอยในเทศกาลดังกล่าว 冬至 “ตังจี่” ไม่ใช่ชื่อเทศกาล เชื่อว่าหลายท่านอาจเคยเห็นคำว่า 冬至快樂 (สุขสันต์เทศกาลตังโจ่ย) กันมาบ้างแล้ว และอาจเข้าใจว่า 冬至 “ตังจี่” นั้นเป็นชื่อเทศกาล แท้จริงแล้วคำว่า 冬至 “ตังจี่” หมายถึงสารทลำดับที่ 22 จากทั้งหมด 24 สารทฤดู โดยวันแรกของสารทนี้มักตรงกับวันเหมายัน (Winter Solstice) ซึ่งเป็นวันที่ช่วงเวลากลางคืนยาวนานที่สุดในรอบปี หรือกล่าวในอีกมุมหนึ่งได้ว่าเป็นช่วงที่มีพลังงานหยินมากที่สุด และนับจากวันนี้เป็นต้นไปพลังงานหยางก็จะเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวันครีษมายัน (Summer Solstice) หรือในภาษาจีนคือ 夏至 “แฮจี่” ส่วนเทศกาลไหว้ขนมบัวลอยนั้น หากต้องการเรียกให้ถูกต้องจริง ๆ จะต้องเรียกว่า 冬節 (อ่านว่า ตังโจ่ย) แปลว่าเทศกาลฤดูหนาว หรือเทศกาลไหว้ขนมบัวลอยนั่นเอง …

เทศกาลตังโจ่ย (冬節) ของชาวจีนทางเหนือและชาวจีนทางใต้แตกต่างกันอย่างไร? Read More »

ทำไมนับถือเจ้าแม่กวนอิมจึงห้ามรับประทานเนื้อวัว?

ประเด็นที่ว่าเมื่อนับถือเจ้าแม่กวนอิมแล้วห้ามรับประทานเนื้อวัวนั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในสังคมไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เขื่อว่าผู้อ่านหลายท่านที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมและไม่รับประทานเนื้อวัวน่าจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ขนาดคนจีนยังกินเนื้อวัวเลย” อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ประเทศจีนนั้นมีกระแสเรื่องการไม่รับประทานเนื้อวัวโดยทั้งไม่เกี่ยวและเกี่ยวข้องกับเจ้าแม่กวนอิม แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัด หลักฐานการกินและไม่กินเนื้อวัวผ่านเอกสารโบราณและสำนวนจีน การไม่รับประทานเนื้อวัวของชาวจีนโดยไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องเจ้าแม่กวนอิมนั้น มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (西周) โดยมีการสั่งห้ามฆ่าวัว เพราะเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อการทำนาและการเกษตร ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของแคว้น (และเป็นเช่นนี้มาหลายยุคสมัย) หรืออาจกล่าวในอีกมุมหนึ่งได้ว่าเป็นตัวชี้วัดความมั่งคั่งของประเทศ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่สามารถสืบค้นเจอในยุคสมัยดังกล่าว ซึ่งก็คือ “คัมภีร์หลี่จี้” (禮記) ซึ่งเป็นเอกสารที่ว่าด้วยธรรมเนียมและจารีต โดยเขียนไว้ว่า “諸侯無故不殺牛” แปลว่า “เจ้าเมืองจะไม่ฆ่าวัวโดยไม่มีเหตุผล” (ขนาดเจ้าเมืองยังไม่ฆ่าวัว แน่นอนว่าประชาชนทั่วไปย่อมไม่มีทางฆ่าวัวเช่นกัน) อย่างไรก็ตาม ในยุคชุนชิว มีเจ้าครองแคว้นนามว่า เว่ยฮุ่ยหวัง (梁惠王) ได้เชิญผาวติง (庖丁) ซึ่งชำนาญในการแล่เนื้อวัวมากมาแสดงการแล่เนื้อวัวให้ชมในงานเลี้ยง ซึ่งผาวติงนั้นทำให้เว่ยฮุ่ยหวังนั้นทั้งชื่นชมในความสามารถ จึงทำให้เกิดสำนวนว่า 庖丁解牛 (ผาวติงเจี่ยหนิว) ซึ่งใช้เปรียบเทียบผู้ที่ทำงานอย่างช่ำชองรวดเร็ว แต่ในทางกลับกันก็กลายเป็นหลักฐานว่าชาวจีนในสมัยก่อนนั้นก็รับประทานเนื้อวัวมาเป็นเวลานานแล้วเช่นกัน อิทธิพลของเจ้าแม่กวนอิมที่มีต่อการรับประทานเนื้อวัว หากกล่าวถึงการไม่รับประทานเนื้อวัวเพราะนับถือเจ้าแม่กวนอิมนั้น หนึ่งในตำนานที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือ ตำนานองค์หญิงเมี่ยวซ่าน (妙善公主) ผู้ฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนา (ต่อมาได้บรรลุธรรมเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม)  แต่ฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดาต้องการให้องค์หญิงเมี่ยวซ่านแต่งงาน ทว่านางกลับไม่สนใจในเรื่องของทางโลกและมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ฮ่องเต้จึงพิโรธและกลั่นแกล้งนางสารพัดเพื่อขัดขวางไม่ให้นางสามารถปฏิบัติธรรมได้ ถึงขั้นสั่งเผาวัดสังหารนักบวชและองค์หญิงเมี่ยวซ่าน แต่ไม่ว่าวิธีใดก็ไม่สามารถขัดขวางนางได้ ต่อมาฮ่องเต้ทรงพระประชวร องค์หญิงเมี่ยวซานซึ่งในตอนนั้นได้บวชชีแล้ว จึงปลอมตัวเข้าไปรักษาบิดาตนเองโดยใช้แขนและขาของตนเองทำเป็นยารักษา ทำให้ฮ่องเต้ยอมเปิดใจ …

ทำไมนับถือเจ้าแม่กวนอิมจึงห้ามรับประทานเนื้อวัว? Read More »

ทำไมเทศกาลกินเจถึงสามารถรับประทานหอยนางรมได้?

หากกล่าวถึงเทศกาลถือศีลกินเจ การกินหอยนางรมได้หรือไม่นั้นถือเป็นหนึ่งในประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาโดยตลอด ในขณะที่บางกลุ่มมองว่าสามารถรับประทานได้เนื่องด้วยตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาอย่างองค์หญิงเมี่ยวซ่านและตำนานพระถัมซังจั๋ง ในขณะที่บางกลุ่มมองว่าอย่างไรเสียหอยนางรมก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง หากถือศีลกินเจนั้นก็ไม่สามารถรับประทานได้ อย่างไรก็ดี ในบทความนี้น่ำเอี๊ยงขอพาทุกคนสำรวจความเชื่อเกี่ยวกับการรับประทานหอยนางรมในฐานะอาหารเจ ทั้งนี้เพื่อคลายข้อสงสัยและช่วยให้ผู้ที่ถือศีลกินเจสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น ความเชื่อเกี่ยวกับการรับประทานหอยนางรมในฐานะอาหารเจ ความเชื่อที่ 1: องค์หญิงเมี่ยวซ่าน (妙善公主) ความเชื่อที่หนึ่งมาจากเรื่องราวขององค์หญิงเมี่ยวซ่าน ซึ่งต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม ในสมัยที่ยังเป็นพระราชธิดาองค์เล็กของพระเจ้าเมี่ยวจวง (妙庄王) และพระนางเซี่ยวหลิน เมื่อยังเยาว์วัย องค์หญิงเมี่ยวซ่านมีคสามสนใจในการศึกษาพระธรรม ยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธศาสนา และมีความตั้งใจที่จะช่วยสรรพสัตว์บนโลกไปนี้ให้พ้นทุกข์ ทว่าตอนนั้นพระเจ้าเมี่ยวจวงต้องการให้องค์หญิงเมี่ยวซ่านออกเรือน แต่นางกลับไม่สนใจความประสงค์ของพระบิดา จึงหนีออกจากวัง พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงกริ้วเป็นอย่างมาก จึงพยายามขัดขวางทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้องค์หญิงเมี่ยวซ่านบรรลุความต้องการของตน จนถึงขนาดที่เข่นฆ่าผู้คนที่นับถือพระพุทธศาสนา เมี่ยวซ่านจึงพาประชาชนผู้นับถือพุทธศาสนาหนีลงทะเล แต่ด้วยการเดินทางทะเลที่ยาวนานและเส้นทางที่ยาวไกล จึงทำให้เสบียงอาหารที่เตรียมไว้หมดลง ด้วยเหตุนี้อธิษฐานว่าหากเอาไม้พายจุ่มลงทะเลไปแล้วมีสิ่งใดติดขึ้นมา ก็จะกินสิ่งนั้นเป็นอาหาร ปรากฏว่ามีหอยนางรมติดขึ้นมา ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นความเชื่อว่าหอยนางรมสามารถรับประทานได้ ความเชื่อที่ 2: พระถัมซังจั๋ง (玄奘) อีกความเชื่อหนึ่งที่ชาวบ้านเชื่อถือกันคือเรื่องราวของพระถัมซังจั๋ง ซึ่งกำลังเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ดินแดนชมพูทวีป ระหว่างทางไม่สามารถหาสิ่งใดฉันได้เลย จึงตั้งจิตอธิษฐานว่าหากมีสิ่งใดที่สามารถฉันได้โดยไม่ผิดบาป ขอให้ปรากฏขึ้นเป็นภักษาหารด้วยเถิด ทันใดนั้นก็มีหอยนางรมจำนวนมากโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าหอยนางรมเป็นอาหารเจ ผู้ที่รับประทานเจสามารถบริโภคได้ ข้อกังขาเกี่ยวกับความเชื่อเกี่ยวกับหอยนางรมในฐานะอาหารเจ อย่างไรก็ดี ทั้งสองความเชื่อที่ได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่นิทานที่เล่าสืบกันมา ไม่มีหลักฐานที่สามารถอ้างอิงได้ ความน่าเชื่อถือจึงมีไม่มากนัก และถึงแม้ว่าจะมีบางคนกล่าวว่าสามารถรับประทานหอยนางรมได้เพราะไม่มีทางเลือก แต่ท้ายที่สุดแล้วหอยนางรมก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง จึงทำให้คนส่วนใหญ่ยังคงหลีกเลี่ยงการรับประทานหอยนางรมเป็นอาหารเจ …

ทำไมเทศกาลกินเจถึงสามารถรับประทานหอยนางรมได้? Read More »

ค้นหาคำตอบความเชื่อโลกหลังความตาย ฉบับจีน ไทย และฝรั่ง

“สถานีต่อไปสวรรค์ ผู้โดยสารสามารถเปลี่ยนเส้นทางไปยังนรกได้ อยู่ที่การกระทำของผู้โดยสารเอง” “Next station heaven, interchange with hell, depending upon what you are doing” ถึงแม้ว่าประโยคพร้อมแปลภาษาอังกฤษข้างต้นจะเป็นการล้อเลียนเสียงประกาศบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส แต่ก็ตั้งอยู่บนความเป็นจริงที่ว่ามนุษย์จะขึ้นสวรรค์หรือชดใช้กรรมอยู่ในนรก ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเอง ซึ่งนรกในแต่ละวัฒนธรรมก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน และผู้โดยสารก็สามารถเลือกได้ผ่านการนับถือศาสนาต่าง ๆ อย่างไรก็ดี บทความนี้นอกจากจะพาผู้อ่านทำความรู้จักนรกในวัฒนธรรมที่ต่างกันแล้ว จุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือการชี้ให้เห็นว่าไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ก็ล้วนแต่สอนให้มนุษย์รู้จักการเกรงกลัวต่อการทำความชั่วโดยหยิบยกมโนทัศน์เรื่องนรกมาเป็นเครื่องมือการสอนให้มนุษย์รู้จักทำความดี เพราะท้ายที่สุดแล้วมนุษย์โดยสัญชาติญาณแล้ว ความหวาดกลัวเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากที่สามารถทำให้มนุษย์คล้อยตามทำนองคลองธรรมได้ดียิ่งกว่าการบอกคุณประโยชน์ของสิ่งใด ๆ  10 ขุมนรกและยมบาลทั้ง 10 ของจีน  ชาวจีนมีความเชื่อว่า เขาไท่ซาน (泰山) เป็นจุดที่เชื่อมต่อระหว่างนรกและสวรรค์ อย่างไรก็ตามเดิมทีในวัฒนธรรมจีนโบราณนั้นยังไม่มีมโนทัศน์เรื่อง “นรก” มีเพียงแนวคิดเรื่องโลกหลังความตาย (幽冥) เท่านั้น แต่เมื่อพระพุทธศาสนาจากอินเดียเริ่มเข้าสู่ประเทศจีน จึงก่อให้เกิดแนวคิดเรื่องนรกขึ้นมาโดยมีพญายม (閻羅王) เป็นเจ้านรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป แนวคิดเรื่องนรกก็ได้หลอมรวมกับลัทธิเต๋า ขงจื่อและความเชื่อพื้นบ้านของจีน ทำให้จากที่มีพญายมเพียงองค์เดียว ก็ได้เพิ่มขึ้นมาเป็น 10 องค์และมีนรกเพิ่มขึ้นมาเป็น 10 ขุม ได้แก่  …

ค้นหาคำตอบความเชื่อโลกหลังความตาย ฉบับจีน ไทย และฝรั่ง Read More »

Scroll to Top